CT( Computed Tomography : CT Scan )
การตรวจโดยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
1. ได้ภาพที่ละเอียดชัดเจน แยกความทึบของเนื้อเยื่อต่าง ๆในร่างกายได้ละเอียดมาก เช่น แยกเนื้อเยื่อสมองออกเป็นส่วน แยก ความทึบของก้อนต่างๆ ว่าเป็นก้อน(solid) ถุงน้ำ หรือมีหินปูนอยู่หรือไม่ซึ่งเครื่องเอกซเรย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ยังสามารถบอกขนาดตำแหน่งของส่วนที่ผิดปกติ ตลอดจนการกระจายของโรคได้ 2. สามารถแยกอวัยวะต่างๆแต่ละส่วนไม่ให้มีการซ้อนกัน เช่น สามารถเห็นเนื้อสมอง และโพรงสมองแยกจากกัน 3. นอกจากใช้ในด้านการวินิจฉัยโรคแล้วยังช่วยในด้านการรักษาผู้ป่วยด้วย เช่นช่วยในการเจาะถุงน้ำ หนอง ฝี หรือผ่าตัดสมอง บางส่วน 4. ช่วยคำนวณวางแผนการรักษาโดยรังสีรักษาในผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกโดยสามารถคำนวณภาพของก้อนเนื้องอกจริง ๆ 5. ปัจจุบันมีเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆสามารถศึกษาการไหลเวียนของกระแสเลือด และการไหลเวียนของน้ำสมอง ไขสันหลังได้โดยการฉีดสารทึบแสง(dynamic scan) ร่วมด้วย 6. การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นการลดความเจ็บปวดและอันตรายจากการตรวจพิเศษทางรังสีแบบอื่น ๆ เช่น การตรวจระบบหลอดเลือด (angiography) 7. ช่วยลดเวลาในการตรวจวินิจฉัยซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วย และโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องรุ่นใหม่ ๆยิ่งให้ประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านเทคนิคการถ่ายภาพ และการแปลผลได้สูงขึ้น 8. ทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะมีราคาแพงแต่เป็นที่แน่ชัดว่า การตรวจด้วยวิธีนี้จะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านการตรวจอื่น ๆ
Mammogram
เอกซเรย์เต้านม(Mammogram) ปัจจุบันโรคมะเร็งในสตรีสำหรับประเทศไทยพบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูกและมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นทุกปี สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านม ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่นอน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม(ที่ป้องกันไม่ได้) ผู้หญิง อายุมากกว่า 35 ปี เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน มีประจำเดือนเร็ว, หมดประจำเดือนช้า มีมารดา พี่สาว น้องสาวลูกสาวเป็นมะเร็งเต้านม ไม่มีบุตร หรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุมากว่า 30 ปี
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม(ที่ป้องกันได้) ถูกฉายรังสีที่หน้าอกบ่อย ๆ ดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 30 ปี ใช้ยาคุมกำเนิดนานกว่า 4 ปี ก่อนการตั้งครรภ์ครั้งแรก ออกกำลังกายน้อยทำให้ประจำเดือนมาเร็ว กินจุ ทำให้ประจำเดือนมาเร็ว รวมเวลาให้นมบุตรน้อยกว่า 3 เดือน
Ultrasound
Ultrasound เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงโดยให้ทรานส์ดิวเซอร์ ส่งคลื่น ultrasound กระทบกับผิว ต่อมหรือเนื้อเยื่อที่มีคุณสมบัติต่างกัน จะเกิดการสะท้อนกระเจิงของคลื่น และคลื่นที่สะท้อน กระเจิงกลับเข้าสู่ทรานส์ดิวเซอร์ (echo) จะถูกบันทึก ขยายและปรับแต่งก่อนส่งไปแสดงผลทางจอภาพ (display) คลื่นเสียงความถี่สูงสามารถใช้ตรวจส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ ส่วนหัว ใช้ตรวจเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เพื่อตรวจดูความผิดปกติในกระโหลกศีรษะ โดยตรวจผ่านกระหม่อมที่ยังไม่ปิด (open fontanelles) ส่วนคอ ใช้ตรวจหาความผิดปกติและหารอยโรคของต่อมธัยรอยด์, ต่อมน้ำลาย (salivary gland), parotid gland, ก้อนในบริเวณคอและใช้ตรวจเส้นเลือดแดง (carotid artery) ส่วนอก ใช้ตรวจทรวงอก เพื่อดูน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือตรวจดูรอยโรค (lesions) ว่าเป็นเนื้อหรือน้ำติดกับผนังทรวงอก เช่น เนื้องอก ฯลฯ ช่องท้อง ใช้ตรวจดูความผิดปกติและหารอยโรคของอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมด (whole abdomen) ส่วนอื่น ๆ ตรวจเพื่อหาความผิดปกติและรอยโรคที่สงสัยในอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue) หรือ มีน้ำภายใน เช่น กล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจเต้านม ขา เส้นเลือดขนาดใหญ่และขนาดกลาง (Doppler) เพื่อดูความผิดปกติ ของเส้นเลือด, วัดความเร็วการไหลเวียนเส้นเลือด, ดูการอุดตันของเส้นเลือด ฯลฯ การเตรียมตัวก่อนตรวจ
Barium Swallowing
เป็นการตรวจทางรังสีของหลอดอาหาร โดยการดื่มสารทึบรังสี เช่น แป้งแบเรี่ยม (Barium sulphate) ประกอบการถ่ายภาพเอกซเรย์ เพื่อดูความผิดปกติของหลอดอาหารเป็นสาเหตุของการกลืนอาหารติดขัด ขั้นตอนการตรวจ 1. ตั้งเตียงเอกซเรย์ ให้ผู้ป่วยยืน แล้วอมแป้งแบเรี่ยมไว้ในปาก แล้วกลืนแป้งแบเรี่ยมตามที่รังสีแพทย์บอก ขณะที่รังสีแพทย์ทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนท่าตามคำบอกของรังสีแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ 2. เมื่อเอกซเรย์ครบทุกส่วนแล้วรังสีแพทย์จะนำฟิล์มไปดู เพื่อให้แน่ใจว่าฟิล์มเอกซเรย์ครบถ้วนแล้วหรือยัง และต้องการถ่ายเพิ่มในส่วนที่สงสัยอีกหรือไม่ รังสีแพทย์ตรวจสอบฟิล์มเสร็จแล้วแปรผลการตรวจ ถือเป็นการเสร็จสิ้นการตรวจ Barium Enema
เป็นการตรวจดูพยาธิสภาพ และความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ โดยการสวนสารทึบรังสีเข้าทางทวารหนักประกอบกับการถ่ายภาพรังสี
ข้อปฏิบัติในการเตรียมตัวก่อนตรวจ 1. ให้รับประทานอาหารอ่อน(เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม) และงดผัก ผลไม้ 2 วัน ก่อนถึงวันตรวจ 2. ให้รับประทานยาระบาย เวลา 20.00 น.( Castor Oil 30 cc , Dulcolax 2 เม็ด) เป็นเวลา 2 วันก่อนตรวจ 3. หลังเที่ยงคืนของวันก่อนตรวจ ให้งดน้ำและอาหารทุกชนิด (กรณีเด็กเล็กให้งดนมก่อนตรวจ 4 ชั่วโมง) 4. ถ้ามีฟิล์มเก่าหรือฟิล์มจากโรงพยาบาลอื่นให้นำมาด้วยทุกครั้ง ก่อนตรวจ
1. ผู้ป่วยปฏิบัติตามใบนัดตรวจทุกประการ 2. เจ้าหน้าที่จะให้เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาล 3. เจ้าหน้าที่จะถ่ายภาพรังสี 1 ภาพ เพื่อตรวจดูว่าในลำไส้ใหญ่ของผู้ป่วยมีกากอาหารอยู่หรือไม่ ถ้าหากมีเจ้าหน้าที่จะให้ผู้ป่วยสวนอุจจาระออกให้หมดจึงจะเริ่มตรวจต่อไป เริ่มตรวจ 1. เจ้าหน้าที่จะใช้หัวสวนชนิดเป่าลม สวนเข้าในทวารหนักของท่านและจะบีบลมเข้าไปในหัวสวนเพื่อป้องกันไม่ให้สารทึบรังสีไหลย้อนกลับมา 2. เมื่อเริ่มตรวจเจ้าหน้าที่จะเริ่มปล่อยสารทึบรังสีเข้าไปในลำไส้ใหญ่และรังสีแพทย์จะถ่ายภาพรังสีตามส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการ 3. ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้องเนื่องจากการบีบสารทึบรังสีและลมเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยอาจรู้สึกคล้าย ๆ ปวด
|