งานสูตินรีกรรมในระยะแรก ของการแพทย์ทหารอากาศ จะส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในเขตตัวเมือง และมีการส่งนางพยาบาลผดุงครรภ์ไปช่วยทำคลอดตามบ้านพักในเขตดอนเมือง หรือเขตกองบิน จนเมื่อเปิดโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช มีแผนกสูติกรรม ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นด้านนรีกรรมและการคลอดบุตรที่ผิดปกติ ในระยะแรกการักษาพยาบาลด้านสูตินรีกรรมอยู่ในความควบคุมดูแลของ พล.อ.ต.เจือ ปุณโสนี ซึ่งโอนมาจากกองทัพบก และถือเป็นแพทย์ทางสูตินรีกรรมท่านแรกของกองทัพอากาศ ต่อมาใน พ.ศ. 2492 ร.อ.ชลิต จุลโมกข์ โอนย้ายจากกองทัพบก มารับผิดชอบแผนกสูตินรีกรรม แต่ใช้เจ้าหน้าที่และพยาบาลร่วมกับแผนกศัลยกรรมและแผนกตรวจโรค ในยุคนั้นมีการส่งผู้ป่วยที่ไม่สามารถคลอดปกติจากชนบทไกล ๆ เช่น คลอง 12 นครนายก มาทางเรือโดยมีลำคลองทะลุเข้ามาถึงตึกสูติกรรม ด้านหลังโรงพยาบาล พ.ศ. 2506 ได้เริ่มมีแพทย์ฝึกหัดปฏิบัติงานในกองสูตินรีกรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 แผนกสูตินรีกรรมได้เปลี่ยนเป็นกองสูตินรีกรรม มีผู้ใช้บริการด้านสูติกรรมเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากปริมณฑลของโรงพยาบาลได้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรม และถิ่นที่อยู่อาศัย แต่ รพ.ขาดแคลนแพทย์จากการลาออกไปต่างประเทศ กองทัพอากาศจึงรับแพทย์จัดสรรเข้าปฏิบัติในกองสูตินรีกรรม จำนวน 10 ท่าน กองสูตินรีกรรม ได้ปรับปรุงบริการด้านต่างๆ อย่างมาก มีการใช้เครื่องตรวจที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น เครื่อง Fetal Monitoring เครื่อง Ultrasonography เปิดคลินิกเฉพาะทางมะเร็งนรีเวช คลินิกผู้มีบุตรยาก คลินิกวางแผนครอบครัว พ.ศ. 2527 ได้รับอนุมัติเป็นสถาบันฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวชวิทยา และจัดแบ่งหน่วยงานเป็น หน่วยปริกำเนิด หน่วยวางแผนครอบครัว หน่วยชีววิทยาการเจริญพันธุ์ หน่วยโรคติดเชื้อสูตินรีกรรม และหน่วยมะเร็งนรีเวช หน่วยชีววิทยาการเจริญพันธุ์ ตู้เตรียมยาเคมีบำบัดแก่ผู้ป่วยมะเร็ง
พ.ศ. 2537 เปิดหน่วยชีววิทยาการสืบพันธุ์ ได้ให้บริการแช่แข็งตัวอ่อน และธนาคารอสุจิ ก็สามารถให้กำเนิดเด็กหลอดแก้วได้เป็นรายแรก...
|